โรคสุกใส

โรคสุกใส (chickenpox) เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชี่อว่า Varicella-Zoster Virus (VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรค”งูสวัด” โดยทั่วไปมักพบการระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี ลักษณะสำคัญของโรคสุกใสคือ มีผื่นขึ้น ระยะแรกจะเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน และมีอาการคัน ผื่นและตุ่มจะทยอยขึ้นที่ละระลอกๆทั่วร่างกาย โดยทั่วไปผื่นจะหายโดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อนบนผิวหนัง ทำให้กลายเป็นหนองและมีแผลเป็นตามมา ในบางรายเชื้อที่แทรกซ้อนอาจกระจายเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ และปอดบวมได้โรคสุกใสเมื่อหายแล้วมักจะมีเชื้อหลบอยู่ที่ปมประสาท ซึ่งอาจเกิดเป็นโรค “งูสวัด” ในภายหลังได้ โรคสุกใสถึงแม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นสาเหตุของการขาดเรียน ขาดงาน ก่อให้เกิดความรำคาญ อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อน เป็นแผลเป็นที่มีผลต่อความสวยงาม จึงมีผู้พยายามคิดค้น

วัคซีนป้องกันโรคสุกใส

          วัคซีนป้องกันโรคสุกใสที่ค้นพบและผลิตขึ้นมาใช้ในระยะแรก มีข้อจำกัดที่ต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำถึง -20 องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบันสามารถพัฒนาเป็นวัคซีนที่เก็บให้คงประสิทธิภาพได้ที่อุณหภูมิ2-8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิตู้เย็นปกติ เก็บได้นาน 2 ปี ภายใต้ชื่อการค้า ” Varilrix ” ของบริษัท Glaxo Smith Kline และเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

วัคซีนสุกใส

          วัคซีนป้องกันโรคสุกใสเป็นวัคซีนชนิดมีชีวิต ผลิตจากเชื้อสายพันธุ์ OKAผลิตขึ้นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1974 เมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมา แนะนำให้ฉีดในเด็กปกติที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อ VZV ตั้งแต่อายุ 12 เดือน มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสุกใสร้อยละ 70-90ในเด็กอายุ 12 เดือน – 12 ปี แนะนำให้ฉีดครั้งเดียวเข้าชั้นใต้ผิวหนัง เด็กโตที่อายุเกิน 12 ปี และผู้ใหญ่ การตอบสนองต่อวัคซีนไม่ดีเท่าเด็กเล็ก แนะนำให้ฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 1เดือนเมื่อพิจารณาในแง่ความจำเป็น วัคซีนป้องกันโรคสุกใสอาจถูกมองว่าไม่จำเป็น หมายถึง ไม่ต้องฉีดก็ได้ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ต้องยอมรับว่าเด็กอาจมีความเจ็บป่วยทุกข์ทรมานจากการที่เป็นโรคสุกใส บางคนกลัวน่าเกลียด พ่อแม่บางคนต้อง หยุดงาน เด็กหยุดเรียน เพื่อนล้อ บางทีมีแผลเป็นที่ไม่หาย หรือร่างกายอ่อนแอลง เวลาเป็นสุกใสอาจเป็นมากๆ อาจต้องให้ยาแรงซึ่งเป็นยาต้านไวรัส ส่วนใหญ่มีราคาแพงในการรักษา แล้วในที่สุดโรคก็จะหายไปได้เอง อีกประการหนึ่งเมื่อเป็นสุกใสแล้ว เวลาที่แก่ตัว ร่างกายอ่อนแอก็อาจเป็นโรคงูสวัดได้อีก เนื่องจากเกิดจากเชื้อเดียวกับโรคสุกใส

สหรัฐอเมริกา

          วัคซีนป้องกันโรคสุกใสได้รับการอนุมัติให้จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1995 ต่อมาวัคซีนป้องกันโรคสุกใสถูกบรรจุให้อยู่ในตารางการให้วัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็กปกติที่มีอายุในช่วง 12-18 เดือนแล้ว และกำหนดให้ฉีดให้เด็กอายุ 11-12 ปี ที่ยังไม่เคยรับวัคซีนและยัง ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนด้วย

ประเทศไทย

          เนื่องจากวัคซีนป้องกันโรคสุกใสมีราคาค่อนข้างสูง จากรายงานทางระบาดวิทยาพบว่า ร้อยละ 50 ของโรคสุกใสเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรง จึงยังไม่กำหนดให้เป็นวัคซีนที่บังคับฉีดในเด็กไทย อย่างไรก็ตามมีข้อแนะนำว่า สำหรับเด็กไทยที่อายุอยู่ในช่วง 10-12 ปี ถ้ายังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ก็น่าจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เนื่องจากในวัยเด็กช่วง อายุ 1-12 ปี การสร้างภูมิต้านทานของร่างกายจะตอบสนองกับวัคซีนได้ดี การได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว ก็เพียงพอแล้ว ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่13 ปีขึ้นไปต้องได้รับวัคซีน 2 เข็มใน ระยะห่าง 4-8 สัปดาห์ จึงเพียงพอที่จะกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้สูงพอที่จะป้องกันโรค ส่วนผู้ที่เคยเป็นโรคสุกใสมาแล้ว จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติอยู่แล้วไม่ต้องฉีดวัคซีนอีกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยแนะนำว่าให้เด็กไทยเป็นไปโดยธรรมชาติภายในอายุ 10 ปี ส่วนในกลุ่มเด็กอายุ 10 ปี ถึง 13 ปี ให้พิจารณาว่า หากไม่ต้องการให้เป็นโรคสุกใส ก็สามารถฉีดวัคซีนได้ 1 เข็ม สำหรับเด็กอายุหลัง 13 ปี ถ้าจะป้องกันก็ให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม เช่นเดียวกับผู้ใหญ่

ชื่อการค้า

          วัคซีนป้องกันโรคสุกใสที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบันภายใต้ชื่อการค้า ” Varilrix” ของบริษัท Glaxo Smith Kline และเป็นที่นิยมฉีดกันแพร่หลายมากขึ้น

ขนาดที่ใช้

          วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix เมื่อผสมตัวทำละลายแล้วจะได้ปริมาตร 0.5มิลลิลิตร ซึ่งเท่ากับ 1 dose เด็กอายุตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป จนถึง 12 ปี ฉีด 1dose ส่วนวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 13 ปี ขึ้นไป ฉีดวัคซีน 2 doses ห่างกันหนึ่งเดือน ผู้รับการฉีดวัคซีน จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคเมื่อฉีดวัคซีน 1 เข็มในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี หรือฉีดวัคซีน 2 เข็มในเด็กอายุมากกว่า 12 ปีห่างกัน 1 เดือน มีข้อมูลว่าป้องกันการเป็นสุกใสได้ตลอดชีวิต รวมทั้งป้องกันงูสวัดด้วย แล้วถ้าเพิ่งฉีดไปแล้วผู้ป่วยไปติดเชื้อมาพอดีหลังจากฉีด มีข้อมูลมาว่าจะขึ้นสุกใสมาก็ไม่เกิน 5ตุ่ม ราคาวัคซีนป้องกันโรคสุกใสในโรงพยาบาลรัฐประมาณ 800-1,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลเอกชน มีตั้งแต่ 1,200-2,000 บาท

วิธีการบริหารยา

          วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ใช้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous) เท่านั้น การใช้วัคซีนป้องกันโรคสุกใสในเด็กควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ทุกราย

ข้อควรระวังในการเก็บรักษา

          ควรเก็บวัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส และป้องกันมิให้ถูกแสงสว่างสำหรับตัวทำละลายอาจเก็บในตู้เย็นหรือที่อุณหภูมิห้องก็ได้ การแช่แข็งไม่ทำให้วัคซีนผงแห้งเสียหาย การขนย้ายวัคซีนจำเป็นต้องเก็บรักษาวัคซีนขณะขนย้ายไว้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส

ข้อบ่งใช้

1.สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ใช้ป้องกันโรคสุกใสแบบ active immunisation แนะนำให้ใช้วัคซีนในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง อายุตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป
2.ควรพิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หากยังไม่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน หรือไม่มีภูมิคุ้มกันของโรค การให้วัคซีนในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะเฉียบพลัน ควรหยุดการรักษาด้วยเคมีบำบัดลงชั่วคราวก่อนและหลังการฉีดวัคซีน 1 สัปดาห์
3.สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีบำบัดไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ในระหว่างที่ทำการรักษาอยู่
4.พิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการกดการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
5.ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ ควรพิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ ก่อนเริ่มทำการรักษาด้วยการกดการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
6.พิจารณาให้วัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ในผู้ที่ต้องคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย

ผลข้างเคียง

          ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน พบว่าอาจมีไข้หรืออาการร้อนแดงตรงตำแหน่งที่ฉีดยา พบได้ร้อยละ 5 บางรายอาจมีผื่นคล้ายผื่นอีสุกอีใสเกิดขึ้น แต่ไม่รุนแรง พบได้ร้อยละ 3-4 ส่วนใหญ่ของผู้รับวัคซีนป้องกันโรคสุกใส Varilrix ไม่พบความผิดปกติใดๆผู้ที่ได้รับวัคซีนและเกิดผื่นสามารถแพร่เชื้อสายพันธุ์ที่ใช้ทำวัคซีนแก่ผู้ใกล้ชิดได้ประมาณ 1-2 วันก่อนปรากฏผื่นจึงแนะนำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ควรสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าเป็นโรคสุกใส ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานบกพร่องอย่างมาก

หญิงมีครรภ์

          วัคซีนสุกใสนี้ห้ามฉีดในหญิงมีครรภ์ สำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ฉีดวัคซีนนี้ ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือน หลังจากฉีดยาเชื้อไวรัสที่นำมาผลิตเป็นวัคซีนเป็นเชื้อที่มีชีวิต อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกับทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนของการตั้งครรภ์ ทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อจะตัวเล็ก น้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าปกติ เนื่องจากการเจริญเติบโตในครรภ์มารดาและการพัฒนาตัวอ่อนเป็นไปอย่างช้ากว่าปกติทารกจะมีแผลเป็นตามตัว ผิวหนังส่วนที่เกิดแผลเป็นจะหนาตัวขึ้น เกิดเป็นลักษณะคล้ายแผลเป็น โดยเนื้อเยื่อรอบๆมีลักษณะแข็งตัวหนาขึ้น แดง และอักเสบ ตำแหน่งที่พบได้บ่อย ได้แก่ บริเวณแขนและขา เด็กบางคนอาจพบความผิดปกติของกระดูกแขนและขาร่วมด้วย บางรายนิ้วมือและนิ้วเท้าพัฒนาไม่เต็มที่ ความผิดปกติทางตาที่พบได้เด่นชัดปรากฏที่เลนซ์ตา อาจเกิดเป็นต้อกระจก หรือขนาดของลูกตาเล็กกว่าปกติ ข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง อาจตรวจพบลักษณะตาเข และบางรายเกิดการอักเสบของเยื่อบุภายในลูกตาความผิดปกติของสายตาพบได้แตกต่างกันในแต่ละรายขึ้นกับความรุนแรงของโรคอาจพบทารกแขนขาลีบ ร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติชนิดซิมพาเธติกปัญญาอ่อน ศีรษะมีขนาดเล็ก ในบางรายเมื่อโตขึ้นจะมีปัญหาในการเรียนรู้ เนื้อสมองเหี่ยวลีบ ในบางรายพบว่าส่วนของเนื้อสมองมีขนาดเล็กกว่าปกติ และโพรงน้ำหล่อเลี้ยงสมองมีขนาดขยายใหญ่กว่าปกติ ผู้ป่วยเสียชีวิตร้อยละ 25 ความรุนแรงของโรค รวมทั้งความผิดปกติและอาการต่างของเด็กอาจแตกต่างกันได้มาก ส่วนหนึ่งขึ้นกับการติดเชื้อไวรัสสุกใสที่เกิดขึ้นกับมารดานั้น เกิดขึ้นในระยะใดของพัฒนาการของทารกในครรภ์ทารกตายคลอด ในทารกตายคลอดที่มีอาการของโรคสุกใสแต่กำเนิด สามารถตรวจพบดีเอ็นเอของไวรัสสุกใส โดยวิธี PCR จากปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง และต่อมหมวกไต ทารกที่รอดชีวิตอาจตรวจไม่พบแอนติบอดีชนิด IgM ต่อเชื้อไวรัสสุกใส แต่จะมีระดับแอนติบอดีชนิด IgG อยู่นานเกินหนึ่งปีได้

ลดอัตราการเกิดโรคงูสวัด

การใช้วัคซีนป้องกันโรคสุกใสในผู้สูงอายุ ช่วยลดอัตราการเกิดโรคงูสวัดลงได้ เนื่องจากเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค มีการศึกษาพบว่าผู้ที่มีภูมิต้านทานผิดปกติที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคสุกใส และต่อมาสัมผัสกับผู้ป่วยโรคสุกใส มีอัตราการเกิดโรคงูสวัดต่ำกว่าผู้ที่มีภูมิต้านทานผิดปกติที่เคยได้รับวัคซีนแต่ไม่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยโรคสุกใส

ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ ในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
ผู้ประพันธ์

Scroll to Top